สถานการณ์วิกฤตต่างๆ ที่ผ่านมาเริ่มคลี่คลาย สิ่งต่างๆ กำลังต้องการการฟื้นฟูเยียวยาจิตใจให้กลับมาสู่ขุมพลังของความหวัง การมองโลก ในแง่ดี ความมั่นคง การปลุกผู้คน การช่วยกันสร้างสิ่งแวดล้อม และสภาพแวดล้อมให้ผ่อนคลายความตึงเครียดจากความไม่แน่นอน และข้อจำกัดมากมายที่ผ่านมา กระแสของความต้องการเหล่านี้ได้ ถูกเรียกให้เข้าใจตรงกันว่า คอนเซ็ปต์ CO-TOPIA ซึ่งมีนิยามว่า “สถานะวันนี้ ดีกว่าเมื่อวาน”
Color Trends 2023 หรือ Color of the Year ที่จะนำมาแชร์นี้เป็นข้อมูลจาก TCDC มีด้วยกันทั้งหมด 7 สี ซึ่งแต่ละสีจะสะท้อนบรรยากาศของโลก และผู้คนที่กำลังถูกปลุกให้พร้อมปรับตัวหลังจากที่เราเจอวิกฤตกันมามากมาย ทั้งนี้จากการสื่อสาร และวัดดัชนีทางอารมณ์ของผู้บริโภคได้ข้อสรุปว่า สีสันของปี 2023 โดยรวมจะเป็นเฉดที่ให้ความรู้สึกของการกลับมามองโลกในแง่บวกยิ่งขึ้น ให้ความรู้สึกถึงพลังแห่งความหวัง และความมั่นคงในอารมณ์ความรู้สึก
บทความนี้เรามาดูกันว่า 7 เทรนด์สีในปี 2023 นี้เชื่อมโยมกับนิยามตามคอนเซ็ปต์ CO-TOPIA ที่จะช่วยเชื่อมโยง ปลุกผู้คน และสิ่งต่างๆ ให้มีสถานะวันนี้ที่ดีกว่าเมื่อวาน รวมทั้งจะมาดูการผสมผสานดีไซน์ของทั้ง 7 สี ให้เป็นเทรนด์ไอเดียในการออกแบบตกแต่งบ้านกันค่ะ
.
เทรนด์สีที่ 1. สีเหลืองอ่อน Elfin Yellow
รหัสสีคือ 11-0620 TCX เฉดสีนี้จัดอยู่ในหมวดสีมินิมอล (Minimalism) เป็นสีที่เหล่าสำนักเทรนด์คาดการณ์ไว้เสมอว่าจะต้องมีอยู่ในลิสต์ แม้สีนี้จะเป็นสีที่ไม่ได้อยู่ในกระแสของสีหลัก แต่มันก็ไม่เคยห่างหายไปจากวงการออกแบบเลย ซึ่งสีเหลืองอ่อนนี้ในหลากหลายวงการไม่ว่าจะเป็นศิลปะ เเฟชั่น อินทีเรียดีไซน์ ฯลฯ เรียกว่ามันถูกนำไปใช้ในแทบจะทุกอุตสาหกรรมเลยก็ว่าได้ และนักออกแบบยุคใหม่ก็มักจะนิยมนำสีเหลืองอ่อนมาใช้เพื่อจับคู่กับสีอื่นๆ มากกว่าสีขาวเสียอีก เหตุเพราะมันเป็นเฉดสีที่มีความเรียบง่าย ให้ความรู้สึกอ่อนโยน และสามารถสื่อถึงความเป็นออร์แกนิค หรือความเป็นธรรมชาติซึ่งสอดคล้องกับเทรนด์ที่โลกกำลังให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ได้ดี ที่สำคัญยังเป็นสีที่ดูแล้วให้ความรู้สึกอบอุ่นสบายตา สามารถนำมาใช้กับการออกแบบตกแต่งเป็นสีของพื้นผิวหลักได้ดี
สำหรับใครที่อยากจะหยิบจับเอาสีโทนเหลืองอ่อนมาแต่งบ้านเพื่อเพิ่มความน่ารักสดใส เติมชีวิตชีวาเหมือนอยู่ใน Summer Time อาจไม่ต้องถึงกับใช้มันเป็นสีหลัก เพื่อความเก๋แนะนำให้หาเฟอร์นิเจอร์ หรือของแต่งบ้านสีเหลืองมาจับคู่กับสีโทนเรียบอื่นๆ หรือหากอยากจะใช้เป็นสีของพื้นผิวหลักก็อาจทาสีนี้ลงผนังของห้อง พลังของสีจะช่วย Refresh เปลี่ยนลุคของห้องได้มากทีเดียว ทั้งนี้อาจจะเลือกใช้กับห้องนั่งเล่น ห้องรับประทานอาหาร ซึ่งเป็นห้องที่เหมาะกับการมีบรรยากาศของความรู้สึกสดชื่น สดใส ตื่นตัว อย่างไรก็ตามเพื่อจะได้สร้างสมดุลของ Mood & Tone ให้อยู่ในความพอดีแนะนำให้เลือกทาสีนี้ลงบนผนังเพียงด้านใดด้านนึงของห้องก็เพียงพอนะคะ
.
เทรนด์สีที่ 2. สีแดงก่ำ Scarlet Sage
สีแดงก่ำ เป็นเฉดสีที่ถูกคาดการ์ณไว้ว่าจะกลายเป็นสีหลักในฤดูร้อนปี 2023 เพราะเป็นสีที่ตอบสนองต่อความต้องการของผู้บริโภค เป็นสีที่สื่อถึงความปรารถณา ปลุกกระตุ้นอารมณ์ เป็นการเติมพลัง และให้ความรู้สึกถึงความน่าหลงใหล ซึ่งสีแดงก่ำนี้ยังนิยมเอาไปใช้เป็นตัวกลางในการสื่อสารทั้งการออกแบบทั้งภายใน และภายนอกของอาคารเพื่อสร้างแรงดึงดูด เป็นการบ่งบอกถึงความเป็นที่โดดเด่นโดยใช้เป็นสีของโครงสร้างเฉพาะตัวไม่ต่างไปจากงานศิลปะชิ้นหนึ่ง และตัวด้วยสีที่เข้มและสด ทำให้เมื่อใช้เป็นองค์ประกอบร่วมกับสีอื่นก็จะยิ่งทำให้สีดูโดดเด่น และดึงความสนใจได้มากขึ้นไปอีก
ในแง่ของการออกแบบตกแต่งภายในคาดการณ์กันว่าสีนี้จะเป็นเทรนด์สีที่มาแรงมากๆ โดยเฉพาะในช่วงฤดูร้อน 2023 ในมุมมองของดีไซน์เนอร์นิยมใช้สีแดงผสมผสานลงไปในรายละเอียดของดีไซน์เพื่อกระตุ้นอารมณ์ เติมพลัง ความปรารถนา ความหลงใหล และใช้สะท้อนถึงภูมิปัญญาสมัยโบราณที่มักจะใช้สีแดงเข้ามาผสมผสานกับสิ่งต่างๆ ในวิถีชีวิต ซึ่งเราจะพบเห็นได้บ่อยในส่วนของโครงสร้าง เช่น กรอบประตูกรอบหน้าต่างของบ้าน รวมถึงในชิ้นงานเฟอร์นิเจอร์ที่ผู้คนอาจได้ตกทอดมาจากคนรุ่นหลังจวบจนปัจจุบัน
.
เทรนด์สีที่ 3. สีเขียวมะนาว Lime Green
สีเขียวมะนาว เป็นสีที่นักออกแบบมักนิยมหยิบมาใช้อยู่ตลอดในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะนักออกแบบวงการดิจิทัล และมันยังถูกจัดเป็นเทรนด์สียอดนิยมอยู่ตลอด สี Lime Green คือเฉดของสีเขียวที่ถูกลดทอนความสว่างลงมาจากสีเขียวนีออนเพื่อให้สามารถนำมาใช้ในชีวิตประจำวันได้มากขึ้น นอกจากนี้สำนักเทรนด์ WGSN บอกว่าสีเขียวมะนาว คือสีที่เชื่อมโยงระหว่างสิ่งแวดล้อม และสุนทรียภาพบนโลกดิจิทัลของ Gen Z มันใช้สื่อถึงความสดชื่น สนุกสนาน สดใส และยังถูกนำไปใช้ในงานศิลปะกราฟิตี้ (Graffiti)ในยุค 90 ที่ในยุคนี้ได้ถูกนำกลับมาใช้อีกครั้งเพื่อกระตุ้นให้ผู้คนรู้สึกถึงความมีชีวิตชีวาที่มากขึ้น
ในวงการการออกแบบตกแต่งภายใน ปกติมักจะใช้สีเขียวเพื่อหยิบยกมาเป็นแรงบันดาลใจของดีไซน์ในแง่ของความเป็นธรรมชาติสิ่งแวดล้อม แต่เมื่อเป็นเฉดสีเขียวมะนาวที่มีความล้ำเข้ากับยุคสมัย ก็ทำให้การหยิบมาใช้กับงานดีไซน์ที่มีความครีเอทีฟหลากหลายเป็นพิเศษ แม้มันจะดูเป็นโทนสีที่ไม่น่าจะเอามาแต่งบ้านได้มากนักเพราะความสดของสีที่หากใช้มากไปจะดูจัดจ้านจนเกินไป แต่สำหรับเรานำของตกแต่งบางชิ้นที่เป็นโทนสีนี้มาใช้ ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่ามันจะช่วยให้ห้องของเราดูสดใส โดดเด่นขึ้นมาก ทั้งนี้เราสามารถเลือกหลบเฉดสีลงมาเป็นสีเขียวแอปเปิ้ลได้ เพราะมันก็ให้อารมณ์ไปในโทนเดียวกัน อย่างไรก็ตาม หากเจ้าของห้องชื่นชอบ หรือมีสไตล์เฉพาะตัว ก็อาจเลือกใช้สีเขียวมะนาวตกแต่งจัดเต็มกับบางห้องเป็นพิเศษเพื่อสะท้อนถึงบ้านในยุคดิจิทัลของคน Gen Z ที่ชื่นชอบศิลปะแนวกราฟิตี้ได้ค่ะ
.
เทรนด์สีที่ 4. สีดำเทา Moonless Night
เป็นสีที่ติดอยู่ในเทรนด์สีเสมอมา และเป็นสีที่ถูกเอามาใช้ทุกยุคทุกสมัย สีดำนั้นเป็นตัวแทนของความลึกลับ สุขุม เย้ายวน หรูหรา และยังสื่อถึงความตรงไปตรงมา และในสีดำแบบเฉด Moonless Night นี้ เป็นสีที่ต้องการสื่อถึงความชัดเจนในการเปลี่ยนแปลงที่ดีกว่าเดิมตามนิยาม Co-Topia ที่สอดรับกับยุคแห่งการเยียวยาฟื้นฟู และความต้องการให้คนทั้งโลก รวมถึงแบรนด์ต่างๆ หันมาให้ความสำคัญกับสังคมและสิ่งแวดล้อมกันมากขึ้น
ในส่วนของการตกแต่งบ้านด้วยเฉดสีอมตะที่สุดแสนเรียบง่ายนี้ ต้องบอกว่าไม่ต้องคิดอะไรมาก เพราะมันเป็นสีที่ไม่ว่าจับคู่กับสีไหน วัสดุอะไรก็เข้ากันได้หมด เราสามารถใช้เป็นสีทาภายใน สีเฟอร์นิเจอร์ สีของตกแต่งบ้าน ซึ่งจริงๆ ปกติเราก็จะพบเฉดสีดำเทานี้กันบ่อยอยู่แล้ว โดยเฉพาะการออกแบบตกแต่งสไตล์โมเดิร์น หรือลอฟ์ท ทั้งนี้ในเรื่องของการดีไซน์เราสามารถสนุกกับการ ดรอปสีลงมาเป็นเฉดเทาได้อีกหลากหลายเฉด เพราะมันไม่ทำให้เป็นการหลุดจากธีมคอนเซปต์ของเทรนด์สีค่ะ
.
เทรนด์สีที่ 5. สีม่วงเข้ม Phlox
ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ดัชนีทางอารมณ์ของผู้คนที่ได้วิเคราะห์ออกมาได้พบว่ามี Pantone กลุ่มสีม่วงอยู่ในเทรนด์สีเสมอ และในปีนี้สำหรับ สีม่วงเฉดม่วงเข้ม ก็ถูกตั้งคำนิยามไว้ว่าเป็นสีที่อยู่ในแนวคิดของด้านดิจิทัล สำนักเทรนด์ NellyRodi (บริษัทที่ปรึกษาด้านการประชุม และการสร้าง แบรนด์) ได้กล่าวว่า สีม่วงเข้มนั้นมีความเชื่อมโยงกับโลก Metaverse สร้างจากความเหนือจริงแบบ 100% และอาจกลายเป็นศูนย์กลางใหม่ของการสร้างปฏิสัมพันธ์ทางเครือข่ายกับสินค้า และงานช่างฝีมือดิจิทัลที่ปราศจากวัสดุจริง หลายคนคงอาจจะเคยเห็นสีนี้อยู่บ่อยๆ ใน Event โชว์งานศิลปะแนวดิจิทัล หรือที่เรียกกันว่าศิลปะแนวใหม่
สำหรับการตกแต่งภายใน ต้องบอกว่าบ้านที่ใช้องค์ประกอบโทนสีม่วงจะทำให้ออกมาดูวินเทจ โรแมนติก ช่วยทำให้รู้สึกสงบ กระตุ้นความคิดสร้างสรรค์ ขณะเดียวกันยังให้กลิ่นอายความหรูหรา ชวนหลงใหลร่วมด้วย เมื่อใช้สีม่วงเข้มคู่กับโทนสีเข้มๆ อย่างสีดำออกมา จะทำให้ดูโมเดิร์น ทั้งนี้เราอาจสร้างกิมมิกของการตกแต่งที่จะช่วยให้ห้องดูน่ารักขึ้น กลายเป็นห้องของสาวสายหวานมีสไตล์ได้ด้วยการใช้โทนม่วงอ่อนๆ เพียงแค่ใช้ของตกแต่ง เช่น หมอนอิง แจกันดอกไม้ พรมเช็ดเท้า ฯลฯ มาเพิ่มเติมไว้ตามจุดต่างๆ ในห้อง
.
เทรนด์สีที่ 6. สีเขียวอมฟ้า Deep Lake
สีเขียวอมฟ้าเป็นเฉดสีที่มีการผสมสีน้ำตาลเข้าไปด้วย จึงรวมเป็นหนึ่งในตัวแทนของสีแนวเอิร์ธโทน สมัยก่อนในช่วงยุค 1980 สีเฉดนี้เคยเป็นตัวแทนของความกล้าในเหล่านักกีฬา จึงมักจะถูกนำไปใช้กับแบรนด์เกี่ยวกับกีฬา เช่น เสื้อผ้า อุปกรณ์ต่างๆ หลายสำนักเทรนด์ยกให้เฉดสีนี้เป็นสีแห่งธรรมชาติและน้ำทะเล ที่อยู่กลางๆ ระหว่างสีน้ำเงินกับสีเขียว แต่เป็นเม็ดสีที่เกิดจากการถูกกัดกร่อนของโลหะทองแดง ที่ตีความได้ถึงผู้นำเยาวชนที่ไม่ยอมแพ้เพื่อความก้าวหน้าของสังคม
ในด้านการออกแบบตกแต่งภายในมีการนำสีนี้มาสื่อถึงความเป็นธรรมชาติในยุคใหม่ ในขณะเดียวกันก็ถูกยกให้เป็นสีที่สร้างความรู้สึกปลอบประโลม แสดงถึงความหวัง การฟื้นฟู และการเปิดใจ อินทีเรียดีไซน์เนอร์รุ่นใหม่จึงนิยมนำสีเขียวอมฟ้ามาเป็นหนึ่งในองค์ประกอบของการออกแบบตกแต่งภายในสำหรับบ้าน สำนักงาน โดยมักใช้เป็นสีหลักของเฟอร์นิเจอร์ ทั้งนี้นอกจากความสวยงาม และมีเสน่ห์เฉพาะตัวของสีนี้ มันยังมีข้อดีคือสามารถเข้ากันได้กับหลายเฉดสี เช่น ถ้าอยากเน้นไปทางความหรูหรา สามารถใช้สีโทนเขียวอมฟ้ากับวัสดุสีทองที่มีความมันเงา หากชอบไปในความเรียบง่ายเป็นธรรมชาติก็จับคู่กับเฟอร์นิเจอร์ไม้ แต่ใครที่ชอบความสดใสมีสไตล์ สามารถเล่นกับโทนสีอ่อนก็จะได้อีกลุคหนึ่งที่ฉีกออกไป เรียกได้ว่าสามารถทำให้ลงตัว และตอบโจทย์แนวคิดไบโอฟิลเลียที่เน้นถึงธรรมชาติบำบัดมาปรับใช้เพื่อสร้างความรู้สึกผ่อนคลายท่ามกลางความจริงจังได้ดี โดยที่ยังมีเสน่ห์เฉพาะตัวจะทำให้เกิดความรู้สึกหรูหรากับบรรยากาศของที่อยู่อาศัยได้อย่างดีทีเดียวค่ะ
.
เทรนด์สีที่ 7. สีส้มแอปริคอต Golden Apricot
ยุคนี้ผู้คนมักหันไปย้อนระลึกถึงวันวานมากขึ้น ความสุขที่เคยเกิดขึ้นกับตัวเองในอดีต และในปี 2023 จะเป็นปีที่คนก็ยังคงชอบหวนคืน อดีตเพื่อหนีความวุ่นวายที่เจอ ความนิยมสไตล์ย้อนยุคไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า ของตกแต่ง หรือของสะสมก็จะกลับมาอีกครั้ง โดยเฉพาะนวัตกรรมยุค 80 ที่ เรียกว่าเรโทร Retro ที่จะเข้ามาผสมกับความทันสมัยในยุคดิจิทัล ซึ่งในยุคนั้นสีส้มเฉดนี้เคยเป็นสีที่นิยมมาก่อน และมันก็กลับมานิยมอีกครั้งในปี 2023 นี้อีกครั้งซึ่งเราจะเห็นได้ชัดเจนมากโดยเฉพาะสินค้าแนวแฟชั่น เครื่องสำอางที่มักนำโทนสีนี้มาใช้กันอยู่บ่อยๆ
ในส่วนของการแต่งบ้าน คงต้องยกให้สีนี้เป็นอีกหนึ่งสีที่ยืนหนึ่งในใจของคนที่มีหัวใจ หรืออยากจะย้อนวันวานกลับไปในยุคสมัย 80-90 สไตล์ Retro มีเอกลักษณ์หลักของการออกแบบตกแต่งที่ไม่จำเป็นต้องมีความหรูหรา เพราะทุกอย่างจะเน้นความสบาย เรียบง่าย มีความสนุกสนาน มีอิสระขณะเดียวกันยังแฝงไปด้วยความโรแมนติก อบอุ่น เรียกได้ว่าเป็นโทนสีที่ให้ความรู้สึกหลากหลายในเวลาเดียวกัน ยิ่งในแง่ของการออกแบบตกแต่งภายใน หากใช้เฟอร์นิเจอร์ที่ทำจากวัสดุไม้ และใช้โทนสีน้ำตาลเข้มมาเสริมด้วยกัน ก็จะได้ Mood & Tone สไตล์เรโทรแบบเต็มขั้น แต่ทั้งนี้หากอยากปรับลดทอนให้มีความทันสมัยมากขึ้น ก็สามารถใช้โทนสีส้มสดลงไปแทรกบ้างก็จะทำให้ภาพรวมของห้องนั้นๆ ดูสนุก และมีลูกเล่นมากขึ้นสิ่งต่างๆ บนโลกนี้มีการใช้สีสันสอดประสานเข้าไปในทุกๆ มิติ และสีก็ได้ส่งอิทธิพลจนกลายเป็นหนึ่งในขององค์ประกอบแวดล้อมทั้งทางตรง และทางอ้อมของการใช้ชีวิตของผู้คน เราทุกคนต่างก็อาศัยอยู่บนโลกที่หมุนวนไป ในทุกขณะของการเปลี่ยนแปลงของโลก ก็ส่งผลต่ออารมณ์ความคิดจิตใจที่แปรเปลี่ยนไปเช่นกัน หากสีสันสามารถเป็นส่วนหนึ่งของการช่วยเยียวยา ปลอบประโลม และช่วยสรรสร้างแรงบันดาลใจให้กับโลกนี้ได้ เชื่อว่าบ้านของเราก็จะสามารถกลายเป็นพื้นที่ปลอดภัย และเป็นสถานที่ที่เราสามารถเนรมิตเพื่อกระตุ้นพลังแห่งชีวิตให้กับตัวเอง และสมาชิกในครอบครัวได้เช่นกัน ขอให้ทุกคนสนุก และมีความสุขกับการออกแบบตกแต่งบ้านต้อนรับปี 2023 ซึ่งจะเป็นปีที่ดีกว่าที่ผ่านมากันค่ะ 😊🌟