เทรนด์ที่อยู่อาศัยในปี 2566

การพัฒนาโครงการบ้านมักจะปรับเปลี่ยนไปตามไลฟ์สไตล์ผู้อยู่อาศัยที่มีความต้องการจากเหตุปัจจัยที่เปลี่ยนไป ซึ่งในปี 2566 นี้ หลังผ่านมรสุมโควิด-19 มา ก็มีผลการสำรวจเทรนด์ของที่อยู่อาศัยใหม่ ซึ่งพอจะสรุปได้ว่าจะมีอยู่ 4 เรื่องหลักๆ ที่ผู้คนที่กำลังมองหาที่อยู่อาศัยใหม่จะมองเป็นปัจจัยหลักในการเลือกพิจารณา

.

เทรนด์แรก คือเรื่อง “สเปซ” (Space)

ผู้คนมีแนวโน้มที่ต้องการบ้านขนาดใหญ่ และมีฟังก์ชันที่มากขึ้น แต่ทั้งนี้ข้อจำกัดเรื่อง ราคาที่ดินแพง รวมถึงต้นทุนก่อสร้างแพง ก็เป็นเรื่องท้าทายสำหรับวงการดีเวลลอปเปอร์ที่จะพัฒนาโครงการให้ตอบโจทย์ ทั้งนี้เราอาจจะเห็นพัฒนาการของที่อยู่อาศัยที่ไม่ได้มีพื้นที่มาก แต่ก็สามารถปรับเปลี่ยนรูปแบบของบ้านให้เป็นบ้าน 3 ชั้นเพื่อตอบโจทย์ได้ จากเดิมที่อยู่บ้าน 2 ชั้นในที่ดินใหญ่ แต่ปัจจุบันกลายเป็นนิยมสร้างบ้านใหญ่ในที่ดินเล็ก แต่ทั้งนี้บ้านรูปแบบนี้ก็มีการออกแบบให้มีความล้ำสมัยเข้าข่ายเทรนด์ที่ตอบโจทย์โดนใจได้เช่นกัน ทำให้แม้บ้านจะมีพื้นที่ขนาดเล็กแต่ก็รวมฟังก์ชันในห้องให้มีฟังก์ชันได้ครบ จากนี้เราจะเห็นการออกแบบที่ใช้เทคนิคการปรับพื้นที่ให้เป็นมัลติฟังก์ชัน หรือมีความยืดหยุ่นในการที่ปรับเปลี่ยนพื้นที่ เช่น ห้องนอนจะมีมุมสำหรับการทำงาน หรือมุมเรียนหนังสือ ห้องครัวจะมีมุมสำหรับเตรียมอาหารที่สามารถกลายเป็น มุมทานข้าว เรียกว่าไม่ว่าพื้นที่จะเล็กแค่ไหนก็จะมีฟังก์ชันที่ตอบโจทย์ได้ในทุกสเปซ

.

เทรนด์ที่สอง คือเรื่อง “เฮลธ์แอนด์เวลเนส” (Health and Wellness)

เกี่ยวกับเรื่องสุขภาพ คือสิ่งที่ผู้คนจะหันมาให้ความสนใจ และจะเป็นเทรนด์ที่ผู้คนทั่วโลกหันมานิยมมากขึ้นไปเรื่อยๆ เพราะภาพรวมของประชากรโลกเรานั้น ชัดเจนในทิศทางว่าจะมีผู้สูงอายุเพิ่มมากขึ้นอย่างเป็นปรากฏการณ์ เมื่อพูดถึงเรื่องของสุขภาพก็ต้องตั้งต้นตั้งแต่เรื่องของอากาศ เรื่องนี้ผู้คนเริ่มให้ความสำคัญกันมากขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากปัญหาเป็นโรคภูมิแพ้ที่มากขึ้นซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากฝุ่น PM2.5 และโควิด-19 ฉะนั้นแนวทางของดีเวลลอปเปอร์ในการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยระดับบนหลายรายจะเริ่มเพิ่มฟังก์ชัน คือติดตั้งเครื่องกรองอากาศเพื่อทำให้อากาศในบ้านหมุนเวียน นอกจากนี้ในแง่ดีไซน์ห้องครัวก็มีความสำคัญมากขึ้นเพราะในยุคนี้คนต้องการมีพื้นที่ที่สามารถทำอาหารทานเองได้จริง ผลการสำรวจพบว่าส่วนใหญ่ต้องการมีครัวไทยเพิ่มนอกเหนือจากการมีส่วนเตรียมอาหารในครัว (Pantry) รวมถึงต้องการมีพื้นที่สำหรับสัตว์เลี้ยงด้วย

.

เทรนด์ที่สาม คือเรื่อง “เทคโนโลยี” (Technology)

ที่อยู่อาศัยในยุคนี้ส่วนใหญ่จะนิยมใช้คอนเซปต์สมาร์ทโฮมที่มีฟีเจอร์ใหม่เข้าไปทำให้สมาร์ทมากขึ้น เทรนด์ที่ฮิตส่วนใหญ่ก็จะเน้นเรื่องความปลอดภัยเป็นหลัก เช่น สั่งปิดเปิดไฟได้ในระยะไกลจากอุปกรณ์ หรือมือถือรองลงมาก็จะเป็นเรื่องของการตอบโจทย์ความสะดวกสบาย เช่น มีการติดตั้งอุปกรณ์ปลั๊กไฟ และแท่นชาร์จมือถือแบบไร้สาย ฝังไว้บนหน้าโต๊ะกลาง หรือโต๊ะอเนกประสงค์ของแต่ห้องในบ้าน

.

เทรนด์ที่สี่ คือเรื่อง “ความยั่งยืน” (Sustainable)

จากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) และภาวะโลกร้อน ทำให้ผู้คนหันมาสนใจการประหยัดพลังงาน ด้วยการนิยมใช้พลังงานสะอาดมากขึ้น เช่น ใช้โซลาร์พาแนล (Solar Panel), แบตเตอรี่สำรอง, โซลาร์ เซลล์, โซลาร์ รูฟท็อป ในโครงการบ้านอยูีฝ่อาศัยสมัยนี้ จึงมีการติดตั้งอีวี ชาร์จเจอร์ให้ไว้ในโรงจอดรถของแต่ละบ้านเพื่อตอบโจทย์การใช้รถไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นในอนาคต และแม้กระทั่งโครงการคอนโดมีเนียมแบรนด์ต่างๆ ก็ยังมีจุดพื้นที่ชาร์จรถไฟฟ้าไว้ตอบโจทย์ลูกบ้านด้วยเช่นกัน

.

แม้เทรนด์ที่เกิดขึ้นมาจากไลฟ์สไตล์ของคนจะเปลี่ยนแปลงไปตามสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไปมากแค่ไหน แต่ยังไงผู้คนก็ยังคงต้องการพื้นที่สีเขียว คือถ้าทำบ้านหลังใหญ่เต็มพื้นที่แล้วไม่มีพื้นที่สีเขียวก็จะไม่ต่างอะไรจากการอยู่ทาวน์เฮ้าส์ ฉะนั้น พื้นที่สีเขียวทั้งในส่วนในบ้าน และพื้นที่ส่วนกลาง ก็ยังจะเป็นสิ่งจำเป็นที่ขาดไม่ได้ ดังนั้นเราจะเห็นว่านอกจากพื้นที่สาธารณูปโภค และสิ่งอำนวยความสะดวกพื้นฐานแล้ว แต่ละโครงการของที่อยู่อาศัยก็จะมีการนำเสนอปัจจัยเรื่องพื้นที่สีเขียวให้กับผู้บริโภคได้ใช้ประกอบการพิจารณากันด้วยเช่นกัน

หากจะให้สรุปเทรนด์ที่อยู่อาศัยในปี 2566 คงจะบอกได้ว่า ปัจจุบันผู้คนหันมาทำธุรกิจส่วนตัว (Self-Employed) กันมากขึ้น คนอีกกลุ่มใหญ่ ก็คือกลุ่มที่ต้องการพื้นที่ที่เป็นส่วนตัวมากขึ้น ดังนั้นหากราคาบ้าน และคอนโดใกล้เคียงกัน คนกลุ่มนี้ก็มักจะตัดสินใจซื้อบ้านมากกว่าคอนโด จึงเป็นเหตุผลทำให้ตลาดบ้านเดี่ยว หรือทาวน์โฮมจะยังคงได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง เพราะคนต้องการพื้นที่ใหญ่ขึ้น และตอบสนองความต้องการของทุกคนในครอบครัวได้